บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มกราคม, 2015

ปั่นจักรยาน ณ แดนฮ่องกง

รูปภาพ
พอดีช่วงนี้ทีกิจกรรมเยอะเลยไม่ว่างมาเขียนมากเท่าไหร่ ต่อจากวันก่อนที่มีกิจกรรมพูดคุยเรื่องครึ่งทางของการมาฮ่องกง คนดูแลก็ชวนพวกเรานักเรียนแลกเปลี่ยนไปปั่นจักรยานในบริเวณแถวนั้นกัน สถานที่ที่เราไปปั่นจักรยานคือแถว Shatin เริ่มแรกเราก็ต้องเช่าจักรยานกัน โดยมีอยู่ทั้งหมดราคาเดียวคือ 30 hkd หรือประมาณ 120 กว่าบาทแต่สามารถเช่าได้ทั้งวัน ซึ่งเอาเข้าจริงนั้นปั่นไปแค่ 1.30 ชม5555 ไม่คุ้มเลยจริงๆ ทางปั่นจักรยานของเรามีทั้งแบบเรียบๆ ทางโค้ง เลี้ยว ลงอุโมงค์ ขึ้นอุโมงค์ คือขาลงนี่ไม่มีปัญหา พอขาขึ้นนี่สิเริ่มลำบากชีวิตละ คือถ้าทางมันจะชันขนาดนี้ แล้วด้วยความที่เรารักการออกกำลังกายมาก (ประชด) เลยต้องทุ่มแรงสุดตัวถึงจะปั่นขึ้นและตามคนอื่นทัน55 โดยรวมแล้วสนุกดีนะ ตั้งแต่มาฮ่องกงเราก็ไม่มีโอกาสได้ออกกำลังมากเท่าไหร่ (อยู่เมืองไทยปกติจะวิ่งลู่) พอมาทริปนี้ได้ออกกำลังเลยรู้สึกดีขึ้น ในอนาคตถ้าว่างๆก็อยากไปปั่นจักรยานอีก อันนี้เป็นวิวทะเลที่ถ่ายมาจากทริปไปปั่นจักรยาน อย่างที่ทราบว่าฮ่องกงเป็นเกาะ และรายล้อมไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย รูปนี้เป็นรูปจักรยานที่เราเช่ามาด้วยราคา

นิสัยของเด็กฮ่องกง

เมื่อพูดถึงเด็กฮ่องกงหรือเด็กคนจีนแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเด็กที่นี่คงเป็นพวกเนิร์ด วันๆเอาแต่เรียน ใส่แว่นหนาเตอะ โดยจากประสบการณ์ตรงของเราแล้ว พบว่ามันไม่จริงไปซะทั้งหมด55 จากข้อความที่ว่าเด็กฮ่องกงใส่แว่นหนาเตอะนั้นเป็นเรื่องจริงแท้ที่สุด ห้องเรามีนักเรียนทั้งหมด 36 คน (รวมเราแล้ว) มีเพื่อนใส่แว่นอยู่เกินครึ่งห้อง สาเหตุของการใส่แว่นนั้นไม่ใช่อะไรแต่เป็นเพราะเด็กส่วนใหญ่ก็จะติดเกม ติดการ์ตูน แล้วก็ติดมือถือ เอ่อ ตอนแรกๆมาก็งงๆ ถ้าจะใส่แว่นเยอะกันขนาดนี้นะคงเป็นเพราะอ่านหนังสือเรียนเยอะแน่เลย โอเค เราคิดผิดมาโดยตลอด5555 การศึกษาของฮ่องกงนั้นติดอันดับต้นๆของโลก ไม่ใช่แค่เพียงเพราะระบบการศึกษาแต่เป็นเพราะตัววินัยในตัวเด็กเองด้วย เด็กที่นี่ขยันมากๆ โดยไม่ต้องให้ใครมาบังคับ บางคนที่เครียดๆนี่กลับบ้านไปคือทบทวนบทเรียนตลอด มีเรียนพิเศษเหมือนกันคล้ายๆกับที่เมืองไทย ช่วงใกล้ๆสอบสามารถไปดูได้ตามห้องสมุด จะเห็นว่าที่นั่งเต็มตลอดเพราะนักเรียนมาอ่านหนังสือ ในช่วงใกล้สอบ เพื่อนบางคนของเราอ่านหนังสือกันจนถึงตีหนึ่งตีสอง (ขนาดเป็นแค่สอบกลางภาคธรรมดา ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะขนาดไหน) เพราะอยากได

ครึ่งทาง

วันนี้มีนัดกับนักเรียนแลกเปลี่ยนและคนดูแลประจำกลุ่มให้ไปนั่งพูดคุยแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาครึ่งทาง (5 เดือน) สิ่งที่นักเรียนแลกเปลี่ยนทุกคนคิดเหมือนกันคือ คิดว่า 5 เดือนนั้นผ่านไปเร็วมาก เหมือนกับว่าเมื่อวานยังเพิ่งเดินทางออกจากประเทศตัวเอง สำหรับเราแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาเหมือนเรายังใช้ชีวิตได้ไม่สุดภาษาก็ยังไม่ดี เปลืองเวลาไปกับซีรีย์เกาหลีก็เยอะ แงงงงง ใครที่จะไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยนอย่าเอาอย่างนะ รู้สึกแย่นิดหน่อย แต่ก็หวังว่าช่วงเวลาที่เหลือเราจะได้ทำอะไรมากขึ้น พูดกวางตุ้งได้ดีขึ้น หากถามว่าอ้าว? แล้วเวลาที่หมดไป 5 เดือนนี่ไม่มีประโยชน์เลยหรอ บอกเลยว่ามีประโยชน์มาก เรารู้สึกได้เลยว่าโตขึ้นเยอะ ได้เจอเพื่อนจากต่างประเทศมากมาย ได้ฝึกใช้ชีวิตด้วยตัวเอง พึ่งตัวเองโดยไม่มีพ่อแม่ หัดตัดสินใจ ฝึกการแก้ปัญหาสถานการณ์ต่างๆ และมีความกล้า มั่นใจ กล้าแสดงออก อื่นๆอีกมากมาย ให้เขียน 3 หน้าก็ไม่จบ55 เราชอบคำพูดของเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนหนึ่ง เขาบอกว่า "การมาแลกเปลี่ยนเหมือนเป็นทางลัดที่ทำให้เราเติบโต" แทนที่จะค่อยๆเป็นค่อยๆไปเหมือนเด็กคนอื่นๆ เพียงแค่ 1 ปีของการมาแลกเปลี่ย

พฤติกรรมแย่ๆ

ไหนๆก็ว่างแล้ว ช่วงนี้เพิ่งเปิดเรียนหลังจากการสอบมาเลยยังไม่มีการบ้าน ก็เลยจะมาเล่าประสบการณ์เจอพฤติกรรมแปลกๆของคนจีนให้ฟัง รวมพฤติกรรมที่ไม่ควรเอาอย่างของคนฮ่องกงกันเลย เย่! พูดเสียงดัง ตะโกน ได้ทุกสถานการณ์ ที่มาเล่าคือไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่มันเหมือนเป็นวัฒนธรรมของที่นี่ไปแล้ว ซึ่งเรามองว่ามันแปลกเลยจะมาแชร์กัน เวลาเราอยู่บ้าน ตอนย้ายมาใหม่ๆนี่จะตกใจเสมอเวลาคนคุยกัน คือเวลาเรียกกันนี่เหมือนตะโกนอยู่ตลอดเวลา แถมตาถลึงอีกต่างหาก เสียงโหด ดุ ดัง ได้ยินในระยะ 10 เมตร (เวอร์55) ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตะโกน อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง น้ำลายมาแล้ว รีบหลบเร็ว55 ป่าวสกปรกนะบอกไว้ก่อน แต่การขากถุยนี่ไม่ใช่เฉพาะในเมืองจีนแม้แต่ในฮ่องกงยังเป็น อาจจะเป็นเพราะบ้านเราอยู่แถวๆชานเมืองหน่อยคนส่วนใหญ่เลยเป็นผู้สูงวัย ก่อนขากนี่จะรู้เลย เสียงจะมาก่อนแบบไอแรงๆแข่กๆ พอจะขากทีนี่หันหน้าหนี เตรียมตัวหลบให้ดีนะ การเรอ ตด เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกายนะจำไว้ เราเลยทำในที่สาธารณะได้! นี่คือสิ่งที่คนฮ่องกงคิด มีครั้งนึงเดินๆอยู่ในซุปเปอร์ แล้วก็ได้ยินเสียงตด คนตดก็ทำหน้าตาเฉย เดินต่อไปไม่ได้มีท่าทีอับอ

ฮ่องกงฟู้ดมันไม่ใช่อย่างที่คิด!

รูปภาพ
อาหารการกินของคนฮ่องกง เมื่อพูดถึงอาหารฮ่องกง แน่นอนว่าเราจะคิดถึงอาหารจีนเป็นอันดับแรก ซึ่งขอคอนเฟิร์มเลยว่าอาหารจีนที่นี่อร่อยจริงๆนะ สังเกตได้จากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น อิอิ แต่หลังจากที่ได้มาอยู่ที่นี่ 5 เดือน เราก็ค้นพบเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมการกินในฮ่องกงได้ดังนี้ เรียบเรียงมาได้ 4 ข้อดังนี้ 1.โจ๊กไม่ใช่อาหารเช้าที่คนฮ่องกงนิยมกินกัน สำหรับคนไทยแล้ว เมื่อมาฮ่องกงก็อาจจะนึกถึงโจ๊ก กับปลาท่องโก๋ตัวยาวๆ แต่สำหรับคนทำงานหรือนักเรียนที่นี่แล้ว การกินอาหารเช้าแบบนั้นเป็นไปได้ยากจริงๆ เนื่องจากชีวิตตอนเช้านั้นเร่งรีบมาก ทั้งรีบกิน รีบเดิน รีบไปเรียน ไปทำงาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไปสาย (คนฮ่องกงให้ความสำคัญกับความตรงต่อเวลามาก) สุดท้ายแล้ว อาหารเช้าของคนทั่วไปจึงเป็นขนมปังกับนม นมถั่วเหลือง โอวัลติน หรือกาแฟแทน  2.นักเรียนมัธยมปลายสามารถออกไปกินข้าวเที่ยงนอกโรงเรียนได้ นักเรียนฮ่องกงน่าไว้วางใจมากจนครูสามารถปล่อยออกไปกินข้าวนอกโรงเรียนได้ (ใช่หรอ?55) นักเรียนมัธยมปลายจึงสามารถออกไปกินข้าวนอกโรงเรียนได้ หรือสำหรับบางคนที่บ้านใกล้โรงเรียนยังกลับไปกินข้าวที่บ

ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนไม่ยากอย่างที่คิด

รูปภาพ
แลกเปลี่ยน ณ ฮ่องกง นักเรียนแลกเปลี่ยนหลายๆคนคงเจอปัญหาหลายอย่างตอนมาอยู่ช่วงเดือนแรกๆ แต่สำหรับเด็ก      แลกเปลี่ยนที่มาฮ่องกงแล้ว ไม่ค่อยมีใครเจอปัญหาหนักๆเท่าไหร่เลย เนื่องจาก 1.คนฮ่องกงส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ (อาจจะสำเนียงไม่ดีนัก) ทำให้ไม่มีปัญหาด้านการสื่อสาร ซึ่งข้อนี้ก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย คือ เราสามารถเอาตัวรอดได้เสมอ55 เวลาคุยไม่รู้เรื่องก็จะมีคนมาช่วยพูดแทนไรงี้ ส่วนข้อเสียคือ ทำให้สกิลภาษากวางตุ้งพัฒนาไปได้ช้ามากๆ มาอยู่จะ 5 เดือนแล้ว ภาษายังพูดไม่ดีเลย 2.มีเพื่อนเป็นเด็กแลกเปลี่ยน เนื่องจากฮ่องกงมีขนาดเล็ก แล้วมีนักเรียนมาแลกเปลี่ยนทั้งหมดในปีนี้ 49 คน ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องเหงาเลย ทุกๆสัปดาห์ก็จะมีการนัดเจอกัน เช่น ไปกินข้าว ไปชายหาด ไปทำกิจกรรมต่างๆ หรือพวกเด็กยุโรปบางคนก็ชอบกินเหล้า55 ตามกฏเอเอฟเอสจริงๆแล้วคือไม่อนุญาติ แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร55  3.เอเอฟเอสฮ่องกงจัดกิจกรรมบ่อยและเยอะมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆแล้ว เอเอฟเอสฮ่องกงจัดกิจกรรมบ่อยๆจริงๆ55 สนุกบ้างน่าเบื่อบ้างปนๆกันไป มีทั้งนัดเจอเป็นกลุ่มย่อยๆ ไปพูดคุยถามเรื่องความเป็นอยู่ ขออาสาสมัครไปทำกิจกรรมต

วัยรุ่นฮ่องกงกับการศึกษา

การศึกษาของฮ่องกง เย่! ในที่สุดก็ปิดคริสมาสต์แล้ว ไม่มีเรียน เหลือแค่วันจันทร์ไปปาร์ตี้ของโรงเรียนเฉยๆ ไหนๆก็ว่างแล้ว วันนี้เลยจะมาพูดถึงเรื่องการศึกษาของฮ่องกงให้ฟัง อย่างที่หลายๆคนรู้ว่าฮ่องกง(จีน) เป็นหนึ่งในประเทศที่เรียนหนักมาก เข้มงวด และเนื้อหายากสุดๆ ซึ่งจากประสบการณ์ตรงแล้วพบว่าจริงมาก55 ก่อนอื่นจะบอกเรื่องโรงเรียนโดยคร่าวๆ โรงเรียนมัธยมของที่นี่จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ซึ่งเรียกว่า แบนด์ (band) Band 1 คือโรงเรียนที่เด็กจะเรียนเก่ง ไม่ก็มีความสามารถพิเศษด้านใดด้านหนึ่งสูงมากๆ เด็กเก่งๆจากโรงเรียนนี้สามารถเลือกวิชาเลือกได้ 3 วิชา เด็กแต่ละคนก็จะถูกคัดมาจากตอนประถม คือจะมีสอบวัดระดับแล้วเหมือนจำแนกเด็กออกเป็น 3 พวก (ฟังดูโหดร้ายแต่มันจริง) เด็กสามารถเลือกอันดับโรงเรียนที่ตัวเองอยากเข้าได้ จากนั้นโรงเรียนก็จะมีการพิจารณาอีกที โรงเรียนแบนด์1 นี้มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ข้อสอบก็เป็นภาษาอังกฤษ จะสอนเป็น กวางตุ้งแค่บางวิชาเท่านั้น เช่น วิชาภาษากวางตุ้ง LS (Liberal studies) และก็บางวิชาเลือกต่างๆเช่น Tourism เป็นต้น Band 2 โรงเรียนกลุ่มนี้จะต่างจากแบนด์ 1 ตรงที่สามารถเลือก

AFS Hong Kong 14/15

รูปภาพ
ก่อนอื่นเลยแนะนำตัว ชื่อออม อายุ16 ปี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการเอเอฟเอส มาฮ่องกง ตอนนี้อยู่ฮ่องกงมาได้4เดือนละ เกิดความรู้สึกว่าเราควรแบ่งปันเรื่องราวให้ตัวเองในอนาคต+คนอื่นที่สนใจอ่าน เพราะตอนก่อนมาหาข้อมูลเด็กแลกเปลี่ยนไปฮ่องกงไม่มีเลย คือมารู้ทีหลังว่าเราเป็นรุ่นที่3 และเป็นเด็กเอเอฟเอส คนที่4 ที่มาฮ่องกง จากเด็กแลกเปลี่ยนที่มาฮ่องกงทั้งหมด 49 คน มีเด็กไทยมาคนเดียว ดีใจจัง น้ำตาจะไหล55 ขอเล่าเรื่องราวคร่าวๆของการมาเป็นเด็กแลกเปลี่ยนก่อนละกัน มีแต่คนสงสัยทำไมถึงเลือกฮ่องกง ไปเองก็ได้นิ ใกล้นิดเดียวเอง? ไม่เห็นคุ้มเลย ไปแลกเปลี่ยนทีต้องไปไกลๆ? ไปหาประสบการณ์? ไปฮ่องกงแล้วได้อะไรหรอ? แต่ก็มีบางส่วนที่เห็นด้วยและให้กำลังใจกับการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง เราก็มาที่นี่แล้ว หันหลังกลับไม่ได้ด้วยสิ55 ก่อนหน้ามาแลกเปลี่ยน เราเคยมาฮ่องกงแล้ว 4 รอบ รอบที่มาอยู่ ณ ปัจจุบันเป็นรอบที่ 5 แล้ว เหตุผลที่เราตัดสินใจมาที่นี่คือเพราะเราเบื่อชีวิตสุดๆ? งงอะดิ55 คือเบื่อจริงๆ เพลียระบบการศึกษาเมืองไทยมาก เบื่อทุกอย่างไปหมด มันดูซ้ำๆ อยากเจออะไรใหม่ๆบ้าง แล้วก็อยากโตขึ้น อยากเก่งขึ้น